วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การค้นหาข้อมูลด้วย search engine


Search
            นโลกไซเบอร์สเปซมีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะคลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและต่างประเทศ
24hrsความหมาย/ประเภทของ Search Engine
            การค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่เบ็นจำนวนมาก ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจะต้องใช้เว็บไซต์สำหรับการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า Seaech Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด คลิกปุ่มค้นหา (หรือกดปุ่ม Enter) เท่านั้น รอสักครู่ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ทันที

Google Yahoo

            Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า Search Engine ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูลของคุณ
Siamguru Sanook

  1. Keyword Index   เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจนั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึงอ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษา HTML ซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อความที่อยู่ในคำสั่ง alt ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคำสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ก็ใช้ได้ผลดี
     
  2. Subject Directories   การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้นๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ล้วนๆ มาให้คุณ
     
  3. Metasearch Engines   จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย
     
            ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องมือในการค้นหาจะต้องเข้าใจว่า ข้อมูลที่ต้องการค้นหานั้นมีลักษณะอย่างไร มีขอบข่ายกว้างขวางหรือแคบขนาดไหน แล้วจึงเลือกใช้เว็บไซต์ค้นหาที่ให้บริการตรงกับความต้องการของเรา

ประเภทของ Search Engine
     การทำงานของ Search Engine นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
                         อินเด็กเซอร์ (Indexers)
                         ไดเรกทอรี (Directories)
                         เมตาเสิรช์ (Metasearch)













วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การเย็บผ้าด้วยมือ

การเย็บผ้าด้วยมือ



การเนาผ้า

            จับผ้าด้วยมือซ้าย จับเข็ม (ที่มีด้ายร้อยอยู่แล้ว เส้นเดียว) มือขวา แทงเข็มขึ้น-ลง ให้ปมด้ายอยู่ด้านล่างของผ้า
ฝีเข็มไม่ต้องห่างมากนัก ตามในภาพ แล้วดึงด้ายให้ผ่านไปทำซ้ำๆ อย่างนี้ ไปตามความยาวที่ต้องการ
            นี่คือการเนา ใช้ในการทำให้ผ้า 2-3 ชั้น ติดกันคร่าวๆ ก่อนที่จะนำไปเย็บด้วยจักร หรือ เนาเพื่อเป็นแนวในการเย็บจักร
ตามเส้นแนวตะเข็บที่ต้องการ ทำอย่างนี้อีก จนกว่าจะได้ความยาวที่ต้องการ

                                     
                
การเนาเท่ากัน
         คือ การเย็บด้วยมือที่ช่วยยึดผ้า 2 ชิ้นหรือมากกว่าให้ติดกัน มีความถี่ห่างของ
      ฝีเข็ม เสมอกัน ทั้งด้านบนและด้านล่าง ฝีเข็มห่างประมาณ 1/4 ถึง 1/2 นิ้ว    ซึ่งถ้าเนาห่างกว่านี้จะ
      ไม่สามารถบังคับผ้าทั้ง 2 ชิ้นให้อยู่คงที่ได้ การเนาเท่ากันเหมาะสำหรับเนาตะเข็บ ก่อนเย็บเนาชาย
      เสื้อและชายกระโปรงก่อนสอย เป็นต้น 
                                                                       

การเนาไม่เท่ากัน
 เป็นการเนาที่มีความถี่ห่างของฝีเข็มสลับกันฝีเข็มถี่อยู่ด้านบนฝีเข็มห่างอยู่ด้านล่างเป็นการเนาที่ช่วยยึดผ้าให้ติดกันแน่นกว่าการเนาเท่ากันการเนาชนิดนี้ใช้เป็นแนวในการเย็บจักรได้ดีหรือใช้เนาเพื่อลองตัวเสื้อหรือกระโปรงเป็นต้น 
ประโยชน์ของการเนาผ้า

1. เป็นการเย็บผ้าให้ติดกันชั่วคราวไม่ให้ผ้าเคลื่อนที่
2. ช่วยในการเย็บตะเข็บถาวรให้ง่ายขึ้น เมื่อเย็บตะเข็บเรียบร้อยแล้วจึงเลาะด้ายที่เนาออก
3. เนาเพื่อทำเครื่องหมายในการเย็บ
4. เนาเพื่อให้เกิดการรูดจีบ 


การด้น

                การด้นตะลุย 

          การด้นตะลุยหมายถึงการเย็บผ้าสองชิ้นให้ติดกัน  โดยใช้เข็มที่ร้อยด้ายแล้วแทงขึ้นลงบนผ้าให้ได้ระยะเสมอกัน   และเป็นแนวตรง  เช่นเดียวกับการเนาแต่ฝีเข็มถี่กว่า  มักใช้เย็บกับผ้าบางๆ เพื่อทำจีบรูด  หรือด้นเพื่อการตกแต่ง
 การด้นถอยหลัง 
                                                  



                                  การด้นเป็นการเย็บผ้าด้วยมือ ที่ทำให้ตะเข็บแข็งแรงและมีฝีเข็มด้านหนึ่งคล้ายกับการเย็บด้วยจักร  
การด้นถอยหลัง คือการเย็บผ้า 2 ชิ้นให้ติดกัน โดยการแทงเข็มขึ้นและ  ย้อนกลับไปแทงเข็มด้านหลัง  ให้ฝีเข็มมีความยาวเพียง 1/2 ของฝีเข็มแรกแทงเข็มลงและดึงด้ายขึ้น
ประโยชน์ของการด้นตะลุย

1. ใช้ด้นเพื่อเย็บเกล็ดเสื้อ
2. ใช้ด้นเพื่อใช้ในการปะผ้า
3. ใช้ด้นเพื่อเย็บจีบรูด
4. ใช้ด้นเพื่อชุนผ้า
5. ใช้ด้นเพื่อยึดผ้าหลายๆชิ้น
6. ใช้ด้นเพื่อเย็บตะเข็บที่ต้องการให้เสร็จอย่างรวดเร็ว
                                                                  การสอย

   
            การสอยจะทำให้มองไม่เห็นด้ายปรากฏภายนอกเด่นชัดจึงมักใช้
 ในการเย็บปกเสื้อ สาบเสื้อ ขอบกระโปรงและกางเกง
 หรือสอยริมผ้าเพื่อกันลุ่ย เช่น ชายกระโปรง ชายเสื้อ ขากางเกง เป็นต้น
 การสอยมีทั้ง สอยซ่อนด้าย ซึ่งนิยมใช้เย็บผ้าพับริม
 เช่น ชายเสื้อ ชายกระโปรง ขากางเกง ก่อนจึงลงมือเย็บ
 จะต้องพับริมผ้าให้เรียบแล้วเนาตรึงไว้ อาจนำไปรีดทับ
 เพื่อให้ผ้าคงรูปยิ่งขึ้น จากนั้นจึงลงมือเย็บ โดยแทงเข็มสอดเข้าไป
 ในรอยพับของผ้าประมาณ ¼ หรือ 1/8 นิ้ว แล้วแทงเข็มออกมา
 จากรอยพับ ให้ปลายเข็มเกี่ยวที่ผ้าด้านนอกประมาณ 2 เส้นใยของผ้า
 ดึงด้ายให้ตึงพอประมาณ แล้วแทงสอดเข้าไปให้รอยพับของผ้าใหม่
 ทำเช่นนี้จนสุดริมผ้า

ข้อควรระวังคือ
    ในขณะที่เย็บไม่ควรดึงด้ายตึงจนเกินไป
เพราะจะทำให้ขอบผ้าย่น และหมั่นดึงขอบผ้าที่เย็บแล้วให้ตึงอยู่เสมอ



 สอยพันริม
 
         ให้สอยเพื่อยึดขอบผ้าที่พับให้ติดกับผืนผ้าด้านหลัง
เป็นการสอยที่ไม่ซ่อน
ด้ายด้านหลัง ในการเย็บเมื่อพับริมผ้าเรียบร้อยแล้ว
ใช้เข็มแทงขึ้นเหนือขอบผ้าเล็กน้อย ดึงด้ายให้ตึงแล้ว
แทงเข็มลงใต้ขอบผ้าประมาณ 2 เส้นด้าย ให้อยู่ในแนวเฉียงเล็กน้อย
ต่อด้วยแทงเข็มเฉียงขึ้นที่เหนือขอบผ้าให้เท่ากับรอยเดิม
เย็บเช่นนี้ต่อไปจนเสร็จ


 สอยสลับฟันปลา
         นิยมใช้เย็บตะเข็บที่ขอบแขนเสื้อ
เป็นการสอยอย่างหลวม ๆ แต่สามารถยึดผ้าได้ดี
ด้านนอกจะเห็นเป็นจุดด้ายเล็ก ๆ เรียงกันส่วนด้านในจะเป็นเส้นด้าย
เย็บไขว้กัน ด้านล่างของรอยพับจะเย็บไขว้แบบซ้ายทับขวา
ส่วนด้านที่อยู่บนขอบผ้าจะไขว้แบบขวาทับซ้าย

ประโยชน์ของการสอยซ่อนด้าย

1. ใช้สำหรับสอยชายเสื้อ
2. ใช้สำหรับสอยปลายแขนเสื้อ 
3. ใช้สำหรับสอยชายกระโปรง
4. ใช้สำหรับสอยชายกางเกง